การมีสุขภาพที่แข็งแรงนับว่าเป็นสิ่งประเสริฐสุดใการดำเนินชีวิตเพราะฉนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรงตลอดเวลาดิฉันได้มีโอกาสไปอ่านบทความจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์ “สุขภาพดี” เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยเคล็ดลับ 11 ประการ ดังนี้
1.คัดสรรสิ่งดีๆ เข้าบ้าน
เริ่มต้นสุขภาพดีง่ายๆ ด้วยการเลือกซื้ออาหาร ขนม ผลไม้ที่มีประโยชน์กับร่างกายไว้ให้ทุกคนในบ้านได้รับประทานกัน เพราะอย่างน้อยคุณก็จะมั่นใจได้ว่าครอบครัวจะได้รับคุณค่าจากอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ
2.ดื่มน้ำให้มากขึ้น
ตามมาด้วยการดื่มน้ำบ่อยๆ ให้ได้วันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
3.กินอาหารให้ครบทุกสิ่ง (ที่ธรรมชาติมี)
การรับประทานอาหารให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมีนั้น หมายถึง การรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวผักคะน้า สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการรับประทานเฉพาะสิ่งที่ชอบเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณได้อีกด้วย
4.กินอาหารที่มีประโยชน์
ควรเลือกรับประทานปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ ปลาเป็นโปรตีนคุณภาพดี และย่อยง่าย เป็นอาหารที่หาง่ายและเหมาะกับทุกคนในครอบครัว
5.ดื่มนมให้เหมาะสมกับวัย
กรดื่มนม นมช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง เด็กควรดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มนมพร่องมันเนย วันละ 1-2 แก้ว เพราะนมคือสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับทุกเพศทุกวัย
6.เลือกกินให้เป็น
การกินอยู่เพื่อสุขภาพที่ดี ควรรับประทานอาหารที่มีไขมัน และอาหารประเภททอด ผัด หรือแกงกะทิแต่พอควร รวมไปถึงอาหารประเภท ต้ม นึ่ง ย่าง (ที่ไม่ไหม้เกรียม) ด้วย
7.พอประมาณหวานและเค็ม
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีรสหวานมาก เสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด รสเค็มจัดก็เช่นกัน เสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคไต เป็นต้น
8.งดเหล้าต่ออายุ
ควรงดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคตับแข็ง โรคมะเร็งในหลอดอาหาร และโรคร้ายอีกมาก
9.ใส่ใจน้ำหนักตัว
การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากความอ้วน
10.พักผ่อนให้เพียงพอ
รู้จักบริหารจัดการกับความวิตกกังวล และพักผ่อนอย่างเพียงพอ การพักผ่อนมีความสำคัญมากกับอวัยวะทุกส่วนของร่างกายคนเรา เพราะเมื่อได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ร่างกายก็จะมีความสดชื่น พร้อมสำหรับการทำงาน สมองมีความปลอดโปร่ง ก็จะสามารถคิดตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้ดี
11.ให้เวลาดีๆ กับตัวเอง
ในยุคที่รายล้อมไปด้วยความกดดัน และความวุ่นวายต่างๆ เราควรหาช่วงเวลาดีๆ ในการหยุดพักความวุ่นวายจากภารกิจประจำวัน หยุดพักชีวิตจากเทคโนโลยี และลองมองกลับเข้าหาธรรมชาติรอบๆ ตัวกันดูบ้าง เช่น การนั่งพักผ่อนกับพื้นหญ้า เดินบนพื้นดินด้วยเท้าเปล่าในสถานที่อากาศถ่ายเทดี อย่างเช่น สวนสาธารณะยามเช้า หยุดคิดเรื่องของตัวเองและคนรอบข้าง เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนทั้งกายและใจอย่างแท้จริง
นับเป็นเทคนิคที่ผู้อ่านหลายๆ ท่านทราบกันดีอยู่แล้ว แต่หากต้องการมีสุขภาพที่ดี ควรเริ่มตั้งแต่วันนี้ ดูแลตัวเองในทุกๆ ด้านอย่างครบถ้วนทั้งการบริโภค การพักผ่อน การออกกำลังกาย การตรวจสุขภาพ และใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะสิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของการมีสุขภาพที่ดี
วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557
5 สาเหตุ ทำไมเด็กไทยอ่อนภาษาอังกฤษ
แม้ว่าเด็กไทยจะเรียนหนัก
แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ภาษาอังกฤษของคนไทยดีขึ้น
เพราะระดับภาษาอังกฤษของคนไทยถูกจัดอยู่ในระดับต่ำมาก
และเหตุผลที่ทำให้เด็กไทยมีระดับความรู้ด้านภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์น่าห่วงมีด้วยกัน
5 ข้อสำคัญคือ
1. ระบบการศึกษาไทยเน้นท่องจำ
โดยมีอาจารย์เป็นศูนย์กลาง เขียนศัพท์และแกรมม่าบนกระดานดำ
และให้นักเรียนอ่านและจำ ไม่มีการวิเคราะห์พูดคุย
หรือตั้งคำถาม-คำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เรียน เพราะกลัวถูกกล่าวหาว่าโง่
2. ไม่มีการสอนคิดแบบวิเคราะห์
ระบบการสอนของไทยสอนแบบให้รับรู้
ไม่ต้องคิดและไม่ต้องถามว่าสิ่งที่เรียนนั้นถูกต้องแล้วหรือยัง
สิ่งที่ถูกคือต้องหัดคิดวิเคราะห์เพื่อแยกเยอะโครงสร้างซับซ้อนของภาษา
จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด หลงเชื่อข่าวปลอม หรือข่าวลวง
โดยไม่มีการคิดวิเคราะห์อยู่บ่อยๆ จนทำให้คนไทยไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ
กลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาไม่รู้จักจบ
3. ครูไทยไร้คุณภาพ การเรียนการสอนที่ดีควรเริ่มจากครูผู้สอนก่อน
เริ่มจากครูไทยต้องมีความสามารถด้านภาษาที่ได้มาตรฐาน
ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดีเยี่ยม
4. ครูต่างชาติไม่ได้มาตรฐาน
นอกจากครูไทยแล้ว โรงเรียนบางแห่งมีแนวคิดจ้างครูต่างชาติ
แต่เนื่องจากไม่สามารถจ่ายเงินเดือนสูงมาก ทำให้บางครั้งก็ได้ครูที่ไม่มีมาตรฐาน
บางครั้งครูที่จ้างมาจบปริญญาแต่ไม่ได้เรียนด้านการสอน ไม่มีวุฒิปริญญา
หรือร้ายแรงที่สุดคือใช้ปริญญาปลอมมาสมัครเป็นครู
5. กระทรวงศึกษาธิการ
ควรปรับเปลี่ยนนโยบายที่จะช่วยพัฒนาการศึกษาไทยให้ได้มาตรฐาน
และสามารถดึงดูดคนที่มีความสามารถมาทำงานเป็นครู
พอได้รู้แบบนี้แล้วก็ทำให้เราต้องตะหนักถึงการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทยให้มากขึ้นเพื่อการสื่อสารกับชาติต่างๆ
โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนที่จะเข้ามาอีกไม่นานนี้
สรุป น่าคิดนะคะ แต่สิ่งหนึ่งที่คนไทยยึดมั่นคือภาษาไทยที่ฝังรากลึกมาช้านานแต่อย่างไรการเรียนรู้เพื่อการสื่อสารเป็นสิ่งท้าทายสำหรับเด็กไทย แต่คงไม่ยากเพราะเรากำลังเข้าสู่อาเซียนมันจึงเป็นสิ่งอย่างหนึ่ง
ข้อมูล?: เว็บไซต์
Scholarship.in.th
สมุนไพรต้านหวัด
สมุนไพรต้านหวัด
โดยทั่วไปเมื่อเป็นไข้หวัดแล้ว อาการจะหายได้เองประมาณ 1 สัปดาห์
โดยหมั่นจิบน้ำอุ่นอย่างต่อเนื่อง พักผ่อนให้มากๆ
โดยสิ่งที่เป็นเรื่องน่ารำคาญของโรคนี้คือ น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอและหายใจลำบาก
เรามีพืชผักและสมุนไพรใกล้ตัว เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับบรรเทาอาการหวัด
ลดอาการไอ การระคายคอ จากเสมหะ มาฝากกัน
ต้นหอม โดยนำต้นหอมสดๆล้างน้ำให้สะอาด
กินร่วมกับอาหารทุกมื้อ มื้อละ 2 – 3ต้น หรือต้มจนเดือด
สูดไอระเหยจะช่วยให้หายหวัดได้เร็ว
ขิง
มีรสหวานและเผ็ดร้อน กลิ่นหอมแหลมของขิงมีส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหย
และสารธรรมชาติอีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์เป็น “ยา” ส่วนคนที่กำลังไอ
ขิงก็ช่วยได้ โดยเอามาฝนกับน้ำมะนาวผสมเกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ อาการไอและเสมหะจะบรรเทาเบาบาง
วิธีใช้ก็ง่ายๆคือใช้ขิงแก่ขนาดเท่านิ้วมือทุบให้แตก ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อยคั้นน้ำ 2 ช้อนแกงใส่น้ำผึ้ง
2 ช้อนแกง ผสมเข้ากันแล้วจิบบ่อยๆ ระวังอย่าจิบมากเกินไป
อาจทำให้แสบคอได้
กระเทียม
มีคุณสมบัติเป็นยาขับเสมหะ มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสหวัดและไข้หวัดใหญ่ และยังมีผลต่อเชื้อร้ายในทางเดินหายใจ
จึงช่วยลดอาการไอ หรือหากรับประทานสดๆได้จะดีเพราะกระเทียมสดๆออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด
ฟ้าทะลายโจร
จัดอยู่ในจำพวกยาปฎิชีวนะ เหมือนพวกเพนนิซิลินและเตตราซัยคลิน
ซึ่งรักษาได้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว แต่ปลอดภัยกว่า เพราะไม่มีพิษต่อตับ
และไม่ตกค้างในร่างกาย
ซ้ำยังมีประสิทธิภาพในการรักษาโดยโรคบางอย่างดีกว่ายาแผนปัจจุบันเสียอีก
มะขาม
มีรสเปรี้ยวเพราะมีกรดอินทรีย์ มะขามช่วยให้หายคัดจมูกและขับเหงื่อ
สูดจนหมดไอแล้วผสมน้ำเย็นลงไปพออุ่นแล้วอาบ ทำวันละ 1 – 2 ครั้ง
ประมาณ 3-4 วัน
เพกา
ส่วนที่นำมาใช้คือ เมล็ด
ซึ่งเมล็ดเพกานี้เป็นส่วนประกอบหนึ่งของน้ำจับเลี้ยงที่คนจีนใช้ดิ่มแก้ร้อนใน
มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ ขับเสมหะ
โดยใช้เมล็ดประมาณ 1
กำมือ หนักประมาณ 3 กรัม ใส่น้ำประมาณ 300
มล. ต้มไฟ่อ่อนๆ พอเดือด เคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมง
ดื่มวันละ 3 ครั้ง
นอกจากนี้แล้ว
การที่เราหมั่นรักษาสุขภาพของตัวเองในหน้าฝนนี้ ด้วยการออกกำลังกาย
และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำอุ่นๆ ก็จะช่วยให้หายจากอาการหวัดได้เร็วขึ้นได้
ที่มา:หนังสือสมุนไพรรู้ใช้ไกลโรค
วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557
10 วิธีให้อาหารสมอง(น่าอ่านมากๆ)
10 วิธีให้อาหารสมอง
ในหนังสือข้างครัว ของพิชัย วาสนาส่ง บอกเล่า 10 วิธีของการให้อาหารตามที่สมองต้องการ ดังนี้
1.กินผลไม้และผักเป็นหลักในอาหารแต่ละมื้อ
2.กินไก่โดยไม่กินหนัง
กินเนื้อหมูและเนื้อวัวที่มีไขมันน้อยที่สุดเสมอ
3.กินถั่วตากแห้ง ผักตระกูลถั่วทุกชนิด
รวมทั้งถั่วลิสง (ไม่เติมเกลือได้จะดีที่สุด)
4.กินถั่วเปลือกแข็ง
โดยเฉพาะพวกวอลนัทและถั่วอัลมอนด์
5.กินปลาเนื้อมัน (แซลมอน ซาร์ดีน
แม็กเคอเรล) และหอยต่างๆ
6.ระวังการบริโภคไขมันที่มีโอเมก้า 6 โดยเฉพาะน้ำมันข้าวโพด น้ำมันพืชที่แต่งเติมด้วยสารไฮโดรเจน
และบรรดากรดที่อุดมด้วยไขมันต่างๆ
7.ใช้น้ำตาลและเกลือแต่น้อย
8.ลดการบริโภคอาหารสำเร็จรูป ประเภทกรุบกรอบ
9.กินวิตามิน-แร่ธาตุเป็นส่วนเสริม
เนื่องจากอาหารทุกวันนี้ไม่มีแร่ธาตุและวิตามินมากเท่าอาหารในสมัยก่อน
10.กินน้ำมันปลาที่มีโอเมก้า 3 ในแคปซูล กรณีที่มิได้บริโภคปลาสัปดาห์ละ 3-4 มื้อ
ที่สำคัญคือต้องออกกำลังกายด้วย สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพราะเมื่อเลือดลมดี สุขภาพก็ดีเช่นกัน
ขอบคุณแหล่งอ้างอิง : นสพ.มติชน
สรุป สมองเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในระบบการทำงานของร่างกายหากสมองได้รับการพัฒนาด้านโภชนาการที่ถูกต้องย่อมเกิดผลดีต่อสุขภาพรจิต
ร่างกายและการทำงานก็จะประสบความสำเร็จ
วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557
เด็กไทยต้องรู้ 7 อาชีพ ที่จะทำงานได้อย่างเสรีในประชาคมอาเซียน
ผลจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
ได้กำหนดให้จัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangements : MRAs) ด้านคุณสมบัติในสาขาวิชาชีพหลัก
เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายนักวิชาชีพ หรือแรงงานเชี่ยวชาญมีความสามารถพิเศษได้อย่างเสรีข้อตกลงเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงาน
ฝีมือไปทำงานในประเทศกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ
ได้อย่างเสรี ได้กำหนดครอบคลุม 7 อาชีพ
และก็มีข่าวว่าอาจจะมีการเพิ่มจำนวนอาชีพขึ้นมาอีกในลำดับถัดไป สำหรับ 7 อาชีพที่มีข้อตกลงกันแล้วให้สามารถเคลื่อนย้ายไปทำงานได้อย่างเสรี ได้แก่
อาชีพวิศวกร ( Engineering Services)
อาชีพพยาบาล (Nursing Services)
อาชีพสถาปนิก (Architectural Services)
อาชีพการสำรวจ (Surveying Qualifications)
อาชีพนักบัญชี (Accountancy
Services)
อาชีพทันตแพทย์ (Dental
Practitioners)
อาชีพแพทย์ (Medical
Practitioners)
แรงงานฝีมือเสรีในกลุ่ม 7 อาชีพนั้น
มีผลดีต่อไทยไม่น้อย เพราะในภาพรวม
สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในไทยมีศักยภาพในด้านการผลิตบุคลากรในสาย วิชาชีพทั้ง
7 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง
ซึ่งทำให้ผู้จบการศึกษาในสายวิชาชีพทั้ง 7 ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกมีตลาดงานที่เปิดกว้างมากขึ้นจาก
เดิมที่ตลาดมีแค่การให้บริการประชาชน 63 ล้านคน
เป็นตลาดของประชาชนร่วม 600 ล้านคนใน 10 ประเทศอาเซียน นอกจากนั้น
ประเทศเหล่านี้รวมทั้งไทยอยู่ในทิศทางที่กำลังเติบโตทางด้านเศรษฐกิจทั้ง สิ้น
เร็วบ้าง ช้าบ้าง และโดยภาพรวมคุณภาพของผู้จบวิชาชีพทั้ง 7 ในไทยก็สูงอยู่ในระดับแถวหน้าของประเทศอาเซียน
ทำให้โอกาสในการหางานมีสูงใน
ขณะที่คนไทยสามารถไปทำงานในประเทศอาเซียนได้อย่างเสรีนั้น สภาวิชาชีพ
หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลมาตรฐานของอาชีพทั้ง 7
นั้นคงต้องมีการดำเนินการอย่างเข้มแข็งรัดกุมเป็นอย่างมาก
เพื่อรักษามาตรฐานของผู้จบวิชาชีพในสาขาอาชีพนั้นๆ ในไทยให้คงเดิม
หรือยกระดับให้สูงขึ้นไปอีก
ป้องกันมิให้เกิดการอ่อนด้อยในเรื่องมาตรฐานขององค์กรในการผลิตคน
บางแห่งที่อาจใช้โอกาสนี้เพิ่มรายได้ในการเร่งผลิตคนในวิชาชีพเหล่านั้น
จำนวนมากเพื่อตอบสนองตลาดที่ใหญ่ขึ้น มิฉะนั้นอาจส่งผลกระทบทางลบโดยรวม อีก ปัญหาที่อาจะตามมาอีกอย่างคือ
บางวิชาชีพไทยเริ่มจะเข้าสู่วิกฤตการขาดแคลนอาจารย์ เช่น ทันตแพทย์
ถ้าแก้ปัญหาไม่ทันท่วงทีในเวลาอีกสามถึงห้าปีข้างหน้า ไทยจะมีปัญหาเรื่องการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ในสายวิชาชีพทันตแพทย์อย่างแน่
นอน ขณะเดียวกัน ก็ต้องระวังดูแลในเรื่องมาตรฐานของคนจากประเทศต่างๆ
ในอาเซียนที่เข้ามาประกอบอาชีพทั้ง 7 อาชีพในไทยด้วยเช่นกัน
เพราะอาจจะมีผู้มาจากประเทศอื่นที่มาประกอบอาชีพในไทยมีปัญหาความอ่อนด้อยใน
เรื่องมาตรฐาน ซึ่งถ้าดูแลไม่รอบคอบรัดกุม อาจก่อเกิดผลกระทบกับสังคมไทยในทางลบ
และอาจส่งผลต่อปัญหาการประกอบอาชีพของคนไทยเอง (อ้างอิงข้อมูล สำนักงานหอสมุด
มหาวิทยาลัยบูรพา)
สรุป ประเทศไทยควรวางแผนการผลิตแรงงานคนให้ดีและต้องสอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอาเซียนที่มีการแข่งขันกันสูงมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถด้านการสื่อสารการใช้ภาษาอังกฤษที่คนไทยยังพูด อ่าน
เขียนได้น้อยเมื่อเทียบกับสมาชิกในอาเซียน
วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557
การพัฒนาประเทศตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยยึดหลักความพอดี ประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และไม่เบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง เกิดจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดในปี พ.ศ.2540
หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักปรัชญาในการดำเนินชีวิตและการปฏิบัติตนในแนวทางสายกลาง สำหรับประชาชนชาวไทย ท้องถิ่น ชุมชน การบริหารและการพัฒนาประเทศของรัฐบาล หลักการของเศรษบกิจพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณลักษณะ 3 ประการ คือ
ความพอประมาณ คือ ความพอดี ไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ความมีเหตุผล คือ ตัดสินใจว่าความพอเพียงจะอยู่ที่ระดับใด จะต้องพิจารณาอย่างมีเหตุผลและรอบคอบ
การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หมายถึง เตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เงื่อนไข
เงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความสำเร็จหรือสามารถปฏิบัติตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างได้ผล จะต้องมีองค์ประกอบ 2 ประการดังนี้
มีความรู้ หมายถึง มีความรู้ในวิชาชีพและวิชาการต่างๆ อย่างรอบด้าน และมีความรอบคอบในการนำความรู้นั้นไปปฏิบัติ
มีคุณธรรม หมายถึง มีความซื่อสัตย์สุจริต ขยัน อดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต ไม่โลภ และไม่ตระหนี่

เป้าหมายของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงต่อบุคคล
การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนบรรลุผลสำเร็จดังนี้
รู้จักตนเอง หมายถึง การดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานของการรู้จักตนเอง รู้จักพัฒนาความรู้ความสามารถของตนด้วยการศึกษาหาความรู้
พึ่งตนเองและพึ่งพาซึ่งกันและกัน หมายถึง ต้องรู้จักพึ่งตนเองและแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันด้วยตนเองก่อนเสมอ โดยใช้สติปัญญาและเหตุผล ต่อจากนั้นจึงพึ่งพาซึ่งกันและตามความจำเป็น
ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง หมายถึง ยึดทางสายกลางในการดำเนินชีวิต ไม่โลภ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ใช้จ่ายเกินฐานะหรือเกินกำลังทรัพย์ของตน
ความสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาประเทศ
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เพราะจะทำให้เกิดผลดีต่อประชาชน ชุมชน และสังคมประเทศชาติ ดังนี้
ความสำคัญต่อครอบครัว สมาชิกในครอบครัวดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข เพราะปฏิบัติตามหลักพออยู่ พอกิน พอใช้ ส่งผลให้ไม่ยากจน ไม่มีหนี้สิน มีเงินออม และพึ่งตนเองได้
ความสำคัญต่อชุมชน ทำให้เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง มีการรวมกลุ่มสร้างแรงงานและอาชีพ และนำทรัพยากรของชุมชนมาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ
เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ สมาชิกในชุมชนร่วมมือกันแก้ไขปัญหา
ระดับสังคมประเทศชาติ สังคมเข้มแข็ง ผู้คนมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง สมาชิกในสังคมร่วมกันสืบทอดภูมิปัญญาและพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
แหล่งข้อมูล http://metricsyst.wordpress.com/
สรุป ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น รายจ่ายมากขึ้นในขณะที่รายรับน้อยลง ทำให้มีผู้คนจำนวนมากมีความลำบากในการดำเนินชีวิต แต่หากทุกคนในชาติหันมาปฎิบัติามคำพ่อสอนเชื่อว่าชีวอตความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้นด้วย
วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557
“พัฒนาพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ในศตวรรษที่ 21 ฟันเฟืองสู่การอภิวัฒน์การศึกษาไทย”
ประเทศไทยมีการปฎิรูปการศึกษามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2542 และรัฐบาลได้ทุ่มเทจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาเพิ่มขึ้นทุกปี หรือคิดเป็นร้อยละ 20.5 ของงบประมาณทั้งหมด เรียกได้ว่าสูงเป็นอันดับที่สองของโลก แต่ในทางกลับกันผลการประเมินคุณภาพการศึกษาของไทยจากสถาบันวิชาการในระดับชาติและในระดับนานชาติต่างบ่งชี้ว่าคุณภาพการศึกษาของไทยตกต่ำ
ทั้งนี้ในการจัดประชุมอภิวัฒน์การเรียนรู้สู่จุดเปลี่ยนประเทศไทยที่จัดขึ้นโดย สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้จัดเวทีอภิปรายในหัวข้อ “การพัฒนาครูเพื่อจัดการเรียนการสอนสำหรับศตวรรษที่ 21” เพื่อนำไปสู่การหาแนวทาเพื่อพัฒนาครูให้เหมาะสมสำหรับการพัฒนาระบบการศึกษาในประเทศไทยขึ้น
รศ.ดร.ทิศนา แขมมณี คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า มีคำถามเกิดขึ้นอย่างหลากหลายว่าการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21 จะไปในทิศทางไหน โดยในหลากหลายภาคส่วนได้ให้ข้อสรุปว่าการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มคือ 1.ความรู้ในวิชาแกน 2.คุณธรรมและคุณลักษณะ 3.ทักษะทางปัญญา ซึ่งรวมถึงทักษะการสื่อสารการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ 4.ทักษะทางสังคม ซึ่งได้แก่การรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม และ 5.ทักษะการเทคโนโลยี ซึ่งจากทักษะทั้ง 5 นั้น สิ่งที่จำเป็นต้องอภิวัฒน์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาครูคือทักษะใน 3 กลุ่มหลัก คือทักษะทางปัญญา ทักษะทางสังคมและทักษะการใช้เทคโนโลยี เพราะทักษะเหล่านี้ได้รับการวิเคราะห์และยอมรับในมุมวิชาการแล้วว่าเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็กที่จะนำไปสู่การดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพในศตวรรษที่ 21 ด้วยเหตุนี้ครูผู้สอนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาแนวทางนำทักษะดังกล่าวมาบูรณาการกับเนื้อหาทางวิชาการเพื่อสนับสนุนให้การเรียนรู้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
ดร.พิษณุ ตุลสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ระบุว่าในปัจจุบันหน่วยงานที่รับผิดชอบในการพัฒนาครูมีเป็นจำนวนมาก แต่ทุกหน่วยงานมีความแตกแยกไม่เป็นเอกภาพจึงทำให้การพัฒนาครูยังไปไม่ถึงไหน สิ่งสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาประสบความสำเร็จคือจะต้องควบรวมหน่วยงานเหล่านี้ให้มีความเป็นเอกภาพ ซึ่งการพัฒนาครูให้เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 นั้นจะต้องเริ่มตั้งแต่การผลิตครูที่เราจะต้องยกเครื่องกระบวนการในการผลิตครูใหม่ ซึ่งในเรื่องนี้หน่วยงานทุกภาคส่วนต้องช่วยกันทั้งรัฐ เอกชน ท้องถิ่น ภาคประชาสังคม โดยต้องช่วยกันดูระบบและวางแผนการศึกษาร่วมกัน จัดการการศึกษาที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่หลากหลาย จากนี้จะต้องมีการกระจายอำนาจเพื่อทำให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาครูอย่างแท้จริง และที่สำคัญต้องเน้นการทำงานที่เป็นเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือในการพัฒนาครูอย่างเป็นรูปธรรม
ศาสตราจารย์ Thomas B. Corcoran , Columbia University กล่าวย้ำว่า ในความหมายของครูที่จะก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 นักเรียนและครูต่างมีหน้าที่ของตนเองที่ต้องช่วยกันพัฒนามากขึ้น เพราะในยุคปัจจุบันโครงสร้างของครอบครัวมีสภาพที่อ่อนแอมากขึ้น เด็กมีสิ่งยั่วยวนมากขึ้นทั้งเรื่องเกม ยาเสพติด หรือแม้กระทั้งการเสพสื่อทางเทคโนโลยีที่ผิด จึงทำให้การพัฒนาระบบการศึกษาของครูในทศวรรษที่ 21 เพื่อเด็กในศตวรรษนี้เป็นเรื่องที่ยากและท้าทายที่จำเป็นต้องรีบหาทางแก้ไข ทั้งนี้ปัญหาที่มักพบกับครูในหลายประเทศทั่วโลกคือกระบวนการการสอน ครูมักจะเน้นสอนในทางทฤษฎีมากกว่าวิชาปฏิบัติซึ่งถือเป็นความรู้ที่มีมากกว่าในห้องเรียนซึ่งตรงส่วนนี้ก็ทำให้การพัฒนาระบบการสอนของครูหยุดชะงักลงได้ นอกจากนี้สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการต่อมาคือต้องปลูกฝังครูรุ่นใหม่ให้มีประสบการณ์ในการสอนทางด้านทักษะวิธีคิดต่างๆ ให้เข้มข้นมากกว่าเดิม ถ้าเป็นไปได้ก่อนที่ครูจบใหม่จะไปสอนจะต้องมีครูพี่เลี้ยงคอยแนะนำให้คำปรึกษาอย่างเข้มข้น และควรต้องมีการประเมินการฝึกสอนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาต่อไป
ทั้งนี้ในการจัดประชุมอภิวัฒน์การเรียนรู้สู่จุดเปลี่ยนประเทศไทยที่จัดขึ้นโดย สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้จัดเวทีอภิปรายในหัวข้อ “การพัฒนาครูเพื่อจัดการเรียนการสอนสำหรับศตวรรษที่ 21” เพื่อนำไปสู่การหาแนวทาเพื่อพัฒนาครูให้เหมาะสมสำหรับการพัฒนาระบบการศึกษาในประเทศไทยขึ้น
รศ.ดร.ทิศนา แขมมณี คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า มีคำถามเกิดขึ้นอย่างหลากหลายว่าการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21 จะไปในทิศทางไหน โดยในหลากหลายภาคส่วนได้ให้ข้อสรุปว่าการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มคือ 1.ความรู้ในวิชาแกน 2.คุณธรรมและคุณลักษณะ 3.ทักษะทางปัญญา ซึ่งรวมถึงทักษะการสื่อสารการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ 4.ทักษะทางสังคม ซึ่งได้แก่การรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม และ 5.ทักษะการเทคโนโลยี ซึ่งจากทักษะทั้ง 5 นั้น สิ่งที่จำเป็นต้องอภิวัฒน์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาครูคือทักษะใน 3 กลุ่มหลัก คือทักษะทางปัญญา ทักษะทางสังคมและทักษะการใช้เทคโนโลยี เพราะทักษะเหล่านี้ได้รับการวิเคราะห์และยอมรับในมุมวิชาการแล้วว่าเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็กที่จะนำไปสู่การดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพในศตวรรษที่ 21 ด้วยเหตุนี้ครูผู้สอนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาแนวทางนำทักษะดังกล่าวมาบูรณาการกับเนื้อหาทางวิชาการเพื่อสนับสนุนให้การเรียนรู้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
ดร.พิษณุ ตุลสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ระบุว่าในปัจจุบันหน่วยงานที่รับผิดชอบในการพัฒนาครูมีเป็นจำนวนมาก แต่ทุกหน่วยงานมีความแตกแยกไม่เป็นเอกภาพจึงทำให้การพัฒนาครูยังไปไม่ถึงไหน สิ่งสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาประสบความสำเร็จคือจะต้องควบรวมหน่วยงานเหล่านี้ให้มีความเป็นเอกภาพ ซึ่งการพัฒนาครูให้เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 นั้นจะต้องเริ่มตั้งแต่การผลิตครูที่เราจะต้องยกเครื่องกระบวนการในการผลิตครูใหม่ ซึ่งในเรื่องนี้หน่วยงานทุกภาคส่วนต้องช่วยกันทั้งรัฐ เอกชน ท้องถิ่น ภาคประชาสังคม โดยต้องช่วยกันดูระบบและวางแผนการศึกษาร่วมกัน จัดการการศึกษาที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่หลากหลาย จากนี้จะต้องมีการกระจายอำนาจเพื่อทำให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาครูอย่างแท้จริง และที่สำคัญต้องเน้นการทำงานที่เป็นเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือในการพัฒนาครูอย่างเป็นรูปธรรม
ศาสตราจารย์ Thomas B. Corcoran , Columbia University กล่าวย้ำว่า ในความหมายของครูที่จะก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 นักเรียนและครูต่างมีหน้าที่ของตนเองที่ต้องช่วยกันพัฒนามากขึ้น เพราะในยุคปัจจุบันโครงสร้างของครอบครัวมีสภาพที่อ่อนแอมากขึ้น เด็กมีสิ่งยั่วยวนมากขึ้นทั้งเรื่องเกม ยาเสพติด หรือแม้กระทั้งการเสพสื่อทางเทคโนโลยีที่ผิด จึงทำให้การพัฒนาระบบการศึกษาของครูในทศวรรษที่ 21 เพื่อเด็กในศตวรรษนี้เป็นเรื่องที่ยากและท้าทายที่จำเป็นต้องรีบหาทางแก้ไข ทั้งนี้ปัญหาที่มักพบกับครูในหลายประเทศทั่วโลกคือกระบวนการการสอน ครูมักจะเน้นสอนในทางทฤษฎีมากกว่าวิชาปฏิบัติซึ่งถือเป็นความรู้ที่มีมากกว่าในห้องเรียนซึ่งตรงส่วนนี้ก็ทำให้การพัฒนาระบบการสอนของครูหยุดชะงักลงได้ นอกจากนี้สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการต่อมาคือต้องปลูกฝังครูรุ่นใหม่ให้มีประสบการณ์ในการสอนทางด้านทักษะวิธีคิดต่างๆ ให้เข้มข้นมากกว่าเดิม ถ้าเป็นไปได้ก่อนที่ครูจบใหม่จะไปสอนจะต้องมีครูพี่เลี้ยงคอยแนะนำให้คำปรึกษาอย่างเข้มข้น และควรต้องมีการประเมินการฝึกสอนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาต่อไป
อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมสัคมแห่การเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557
สิ่งที่ครูต้องรู้ นักเรียนต้องเป็น ทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21
ความท้าทายด้านการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ในการเตรียมนักเรียนให้พร้อมกับชีวิตในศตวรรษที่ 21 เป็นเรื่องสำคัญของกระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อวิถีการดำรงชีพของสังคมอย่างทั่วถึง ครูจึงต้องมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะสำหรับการออกไปดำรงชีวิตในโลกในศตวรรษที่ 21 ที่เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ 20 และ 19 โดยทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่สำคัญที่สุด คือ ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skill) ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็กในศตวรรษที่ 21 นี้ มีความรู้ ความสามารถ และทักษะจำเป็น ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ
ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) วิจารณ์ พานิช (2555: 16-21) ได้กล่าวถึงทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ดังนี้
สาระวิชาก็มีความสำคัญ แต่ไม่เพียงพอสำหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษที่ ๒๑ ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter) ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของศิษย์ โดยครูช่วยแนะนำ และช่วยออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนแต่ละคนสามารถประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้
สาระวิชาก็มีความสำคัญ แต่ไม่เพียงพอสำหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษที่ ๒๑ ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter) ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของศิษย์ โดยครูช่วยแนะนำ และช่วยออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนแต่ละคนสามารถประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้
สาระวิชาหลัก (Core Subjects) ประกอบด้วย
ภาษาแม่ และภาษาสำคัญของโลก
ศิลปะ
คณิตศาสตร์
การปกครองและหน้าที่พลเมือง
เศรษฐศาสตร์
วิทยาศาสตร์
ภูมิศาสตร์
ประวัติศาสตร์
โดยวิชาแกนหลักนี้จะนำมาสู่การกำหนดเป็นกรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์สำคัญต่อการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary) หรือหัวข้อสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยการส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหาวิชาแกนหลัก และสอดแทรกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เข้าไปในทุกวิชาแกนหลัก ดังนี้
ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
ความรู้เกี่ยวกับโลก (Global Awareness)
ความรู้เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economics, Business and Entrepreneurial Literacy)
ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี (Civic Literacy)
ความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy)
ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy)
ภาษาแม่ และภาษาสำคัญของโลก
ศิลปะ
คณิตศาสตร์
การปกครองและหน้าที่พลเมือง
เศรษฐศาสตร์
วิทยาศาสตร์
ภูมิศาสตร์
ประวัติศาสตร์
โดยวิชาแกนหลักนี้จะนำมาสู่การกำหนดเป็นกรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์สำคัญต่อการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary) หรือหัวข้อสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยการส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหาวิชาแกนหลัก และสอดแทรกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เข้าไปในทุกวิชาแกนหลัก ดังนี้
ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
ความรู้เกี่ยวกับโลก (Global Awareness)
ความรู้เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economics, Business and Entrepreneurial Literacy)
ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี (Civic Literacy)
ความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy)
ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy)
ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม จะเป็นตัวกำหนดความพร้อมของนักเรียนเข้าสู่โลกการทำงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่
ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม
การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา
การสื่อสารและการร่วมมือ
ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม
การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา
การสื่อสารและการร่วมมือ
ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อและเทคโนโลยีมากมาย ผู้เรียนจึงต้องมีความสามารถในการแสดงทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและปฏิบัติงานได้หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ในหลายด้าน ดังนี้
ความรู้ด้านสารสนเทศ
ความรู้เกี่ยวกับสื่อ
ความรู้ด้านเทคโนโลยี
ความรู้ด้านสารสนเทศ
ความรู้เกี่ยวกับสื่อ
ความรู้ด้านเทคโนโลยี
ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ ในการดำรงชีวิตและทำงานในยุคปัจจุบันให้ประสบความสำเร็จ นักเรียนจะต้องพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญดังต่อไปนี้
ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
การริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง
ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม
การเป็นผู้สร้างหรือผู้ผลิต (Productivity) และความรับผิดชอบเชื่อถือได้ (Accountability)
ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ (Responsibility)
ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
การริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง
ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม
การเป็นผู้สร้างหรือผู้ผลิต (Productivity) และความรับผิดชอบเชื่อถือได้ (Accountability)
ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ (Responsibility)
ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต คือ การเรียนรู้ 3R x 7C
3R คือ Reading (อ่านออก), (W)Riting (เขียนได้), และ (A)Rithemetics (คิดเลขเป็น)
7C ได้แก่
Critical Thinking and Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา)
Creativity and Innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม)
Cross-cultural Understanding (ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)
Collaboration, Teamwork and Leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ)
Communications, Information, and Media Literacy (ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
Computing and ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
Career and Learning Skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
3R คือ Reading (อ่านออก), (W)Riting (เขียนได้), และ (A)Rithemetics (คิดเลขเป็น)
7C ได้แก่
Critical Thinking and Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา)
Creativity and Innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม)
Cross-cultural Understanding (ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)
Collaboration, Teamwork and Leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ)
Communications, Information, and Media Literacy (ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
Computing and ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
Career and Learning Skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
แนวคิดทักษะแห่งอนาคตใหม่: การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และกรอบแนวคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นการกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ โดยร่วมกันสร้างรูปแบบและแนวปฏิบัติในการเสริมสร้างประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นที่องค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญและสมรรถนะที่เกิดกับตัวผู้เรียน เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตในสังคมแห่งความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน โดยจะอ้างถึงรูปแบบ (Model) ที่พัฒนามาจากเครือข่ายองค์กรความร่วมมือเพื่อทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Partnership For 21st Century Skills) (www.p21.org ) ที่มีชื่อย่อว่า เครือข่าย P21 ซึ่งได้พัฒนากรอบแนวคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะเฉพาะด้าน ความชำนาญการและความรู้เท่าทันด้านต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อความสำเร็จของผู้เรียนทั้งด้านการทำงานและการดำเนินชีวิต
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นการกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ โดยร่วมกันสร้างรูปแบบและแนวปฏิบัติในการเสริมสร้างประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นที่องค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญและสมรรถนะที่เกิดกับตัวผู้เรียน เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตในสังคมแห่งความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน โดยจะอ้างถึงรูปแบบ (Model) ที่พัฒนามาจากเครือข่ายองค์กรความร่วมมือเพื่อทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Partnership For 21st Century Skills) (www.p21.org ) ที่มีชื่อย่อว่า เครือข่าย P21 ซึ่งได้พัฒนากรอบแนวคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะเฉพาะด้าน ความชำนาญการและความรู้เท่าทันด้านต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อความสำเร็จของผู้เรียนทั้งด้านการทำงานและการดำเนินชีวิต
กรอบแนวคิดเชิงมโนทัศน์สำหรับทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นที่ยอมรับในการสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Model of 21st Century Outcomes and Support Systems) ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางเนื่องด้วยเป็นกรอบแนวคิดที่เน้นผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้เรียน (Student Outcomes) ทั้งในด้านความรู้สาระวิชาหลัก (Core Subjects) และทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่จะช่วยผู้เรียนได้เตรียมความพร้อมในหลากหลายด้าน รวมทั้งระบบสนับสนุนการเรียนรู้ ได้แก่มาตรฐานและการประเมิน หลักสูตรและการเยนการสอน การพัฒนาครู สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเรียนในศตวรรษที่ 21
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้องก้าวข้าม “สาระวิชา” ไปสู่การเรียนรู้ “ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21” (21st Century Skills) ซึ่งครูจะเป็นผู้สอนไม่ได้ แต่ต้องให้นักเรียนเป็นผู้เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยครูจะออกแบบการเรียนรู้ ฝึกฝนให้ตนเองเป็นโค้ช (Coach) และอำนวยความสะดวก (Facilitator) ในการเรียนรู้แบบ PBL (Problem-Based Learning) ของนักเรียน ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวช่วยของครูในการจัดการเรียนรู้คือ ชุมชนการเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (Professional Learning Communities : PLC) เกิดจากการรวมตัวกันของครูเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำหน้าที่ของครูแต่ละคนนั่นเอง (อ้างอิงข้อมูล วิชาการ.คอม )
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้องก้าวข้าม “สาระวิชา” ไปสู่การเรียนรู้ “ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21” (21st Century Skills) ซึ่งครูจะเป็นผู้สอนไม่ได้ แต่ต้องให้นักเรียนเป็นผู้เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยครูจะออกแบบการเรียนรู้ ฝึกฝนให้ตนเองเป็นโค้ช (Coach) และอำนวยความสะดวก (Facilitator) ในการเรียนรู้แบบ PBL (Problem-Based Learning) ของนักเรียน ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวช่วยของครูในการจัดการเรียนรู้คือ ชุมชนการเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (Professional Learning Communities : PLC) เกิดจากการรวมตัวกันของครูเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำหน้าที่ของครูแต่ละคนนั่นเอง (อ้างอิงข้อมูล วิชาการ.คอม )
ชู'สวดมนต์'ศาสตร์แพทย์ทางเลือกบำบัดโรค
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม2557 นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก แถลงข่าว "สวดมนต์ 15 นาที ชีวีมีสุข ครอบครัวสุขสันต์ รับกุศลเข้าพรรษา" ว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเป็นโรคเรื้อรังมากขึ้น โดยปี 2556 มีจำนวนถึง 2.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เสียชีวิตปีละกว่า 1.2 แสนคน ไม่รวมคนไข้ที่มีปัญหาทางจิตผิดปกติปีละ 1 ล้านคนเศษ ต้องใช้ยาจากต่างประเทศปีละกว่า 100,000 ล้านบาทและเป็นค่าใช้จ่ายในด้านสุขภาพประมาณ 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของชาติ ทั้งนี้ ในการรักษาโดยไม่ต้องใช้ยานั้น สวดมนต์ถือเป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกทางหนึ่งในการบำบัดโรค ซึ่งไม่ใช่แค่การบำบัดโรคทางใจแต่ทางกายก็ได้ผลดี
นพ.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า การสวดมนต์บำบัด คือ หลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy คือ การใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย สำหรับการสวดมนต์ด้วยตัวเอง เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง โดยวิธีการสวดมนต์ด้วยตนเองควรปฏิบัติดังนี้ การสวดด้วยตนเองไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน หาสถานที่ที่เงียบสงบ สวดบทสั้นๆ 3 - 4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10 - 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท มีบทบาทหน้าที่เช่น การควบคุมความหิว อารมณ์ และความโกรธ โดยหากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา
“ที่ผ่านมากรมฯได้ร่วมกับอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล ในการศึกษาเรื่องนี้ โดยได้ติดตามในกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วย 100,000 คน ในรพ.สต. ทั่วประเทศ ที่มีอาการความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคเครียด โรคซึมเศร้า ปวดหัวไมเกรน และนอนไม่หลับ หลังจากให้มีการสวดมนต์ทุกวันร่วมกับนั่งสมาธิประมาณ 15-45 นาที และมีการทำโยคะบำบัด ที่ได้พัฒนาหลักสูตรขึ้นมาเรียกว่า สมาธิบำบัดแบบ SKT ซึ่งพัฒนาโดย รศ.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี อาจารย์ประจำภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า หลังจากติดตามมายาวนาน 6 ปีในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ทานยาร่วมด้วย น้ำตาลลดลง จิตใจเข้มแข็งขึ้น ความดันโลหิตลดลง อาการเครียด นอนไม่หลับ ปวดหัวไมเกรนหายไป ทั้งนี้ สอดคล้องกับงานวิจัยต่างประเทศในเรื่องการทำสมาธิ และการสวดมนต์ที่อ่านออกเสียง เนื่องจากคลื่นเสียงจะไปกระตุ้นสารความสุข และกดสารความทุกข์ลง”นพ.ธวัชชัยกล่าว
อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าวด้วยว่า สำหรับสมาธิบำบัดแบบ SKT นั้น มีทั้งหมด 7 ท่า คือ ท่าที่ 1 นั่งผ่อนคลาย ประสานกายประสานจิต ท่าที่ 2 คือ ยืนผ่อนคลาย ประสานกาย ประสานจิต ท่าที่ 3 คือ นั่งยืด เหยียดผ่อนคลาย ท่าที่ 4ก้าวย่างอย่างไทย ท่าที่ 5ยืดเหยียดอย่างไทย ท่าที่ 6 เทคนิคการฝึกสมาธิการเยียวยาไทยโดยการนอน ท่าที่ 7 เทคนิคสมาธิเคลื่อนไหวไทยชีกง ทั้งหมดจะเน้นการฝึกสมาธิ กำหนดลมหายใจเป็นหลัก หากประชาชนสนใจเทคนิคดังกล่าวสามารถสอบถามมาได้ที่กรมฯ โทร 0-2149-5636
นพ.ธวัชชัย กล่าวอีกด้วยว่า กรมฯจึงได้ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พ.ศ.) กรมการศาสนา ลงนามบันทึกข้อตกลงขับเคลื่อนเชิญชวนประชาชนสวดมนต์บำบัดโรค เริ่มวันที่ 10 กรกฎาคม 2557 ที่บริเวณลานปฏิบัติธรรมวัดสังฆทาน จ.นนทบุรี ตั้งแต่เวลา 06.30 น.-09.00น. โดยตั้งเป้าประชาชนเข้าร่วม 1,199 คน ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ที่จุดลงทะเบียนหน้างาน นอกจากนี้ ยังร่วมกับพ.ศ. วัฒนธรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) ทั่วประเทศกว่า 9,800 แห่ง ลงพื้นที่ประสานกับทางโรงเรียนในเขตชุมชนทุกแห่ง และวัดต่างๆ ในการร่วมกันเชิญชวนประชาชน และเด็กนักเรียนสวดมนต์ทุกวันวันละ 15 นาที เพื่อให้ทุกคนร่วมกันสวดมนต์ตลอดเข้าพรรษา 3 เดือน จากนั้นจะมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่าการสวดมนต์ ถือเป็นการมนตราบำบัด หรือการสวดมนต์บำบัดโรคได้
วิจัยพบบทสวดโพชฌงค์แก้'ซึมเศร้า'ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว นางเบญญาภา กุลศิริไชย นักศึกษาปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ได้ทำการวิจัยในการทำวิทยานิพนธ์เรื่อง "การลดภาวะซึมเศร้าในผู้ประสบภัยพิบัติด้วยการรับบทสวดโพชฌงคปริตรเข้าจิตใต้สำนึก" และได้นำเสนอในการบรรยายสาธารณะเมื่อวันที่ 12 ก.ย.2556 ที่บัณฑิตวิทยาลัย "มจร" วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กทม. สามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ 'มจร'วิจัยพบบทสวดโพชฌงค์ แก้'โรคซึมเศร้า'จากภัยพิบัติได้จริง : สำราญ สมพงษ์รายงาน (http://www.komchadluek.net/detail/20120920/140448/วิจัยพบบทสวดโพชฌงค์แก้โรคซึมเศร้าได้.html)
แหล่งอ้างอิงข้อมูล คมชัดลึกออนไลน์วันที่ 06-09-2557
วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
นวัตกรรมใหม่ล่าสุดในการรักษาโรคมะเร็ง
มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ ที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ รวดเร็ว และมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ และในที่สุดก็จะ ทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะการ เจริญเติบโตของหลอดเลือด ถ้าเซลล์พวกนี้เกิดอยู่ในอวัยวะใดก็จะ เรียกชื่อ มะเร็ง ตามอวัยวะนั้นเช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็ง เม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มะเร็งมีสาเหตุส่งเสริมได้จากหลายสาเหตุดังนี้
เชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งโพรงจมูก หรือเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในกระเพาะอาหารมีคนพบว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารค่ะ
พยาธิใบไม้ในตับก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับและทางเดินน้ำดี
สารเคมีหลายชนิดก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น พวกแอสเบสทอส ทำให้เกิดมะเร็งปอด นิเกิล โครเมี่ยม เป็นต้น
ยาบางชนิด เช่น ยาฮอร์โมน ซึ่งไม่ควรจะรับประทานเอง ควรจะอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ หรือยารักษามะเร็งบางชนิด เป็นต้น
วิธีการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง คือ พยายามหลีกเลี่ยงจากสารก่อมะเร็งดังที่กล่าวแล้ว เช่น พยายามอย่าสูบบุหรี่ อย่าดื่มสุรามากเกินไป พยายามใช้ชีวิตให้มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ก็จะสามารถช่วยให้คุณลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ค่ะ
สัญญาณเตือน 7 ประการ ที่อาจจะแสดงว่าเป็นอาการของโรคมะเร็ง มีดังนี้
1. มีการเปลี่ยนแปลงในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เช่น มีเลือดออก ท้องเสียหรือท้องผูกผิดปกติ
2. มีแผลเรื้อรังที่ไม่หาย โดยเป็นนานมากกว่า 3 สัปดาห์
3. มีเลือดออก หรือมีน้ำคัดหลั่งไหลออกมาจากบริเวณช่องต่าง ๆ ของร่างกายผิดปกติ เช่น หัวนม ,จมูก , ช่องคลอด เป็นต้น
4. คลำได้ก้อนที่เต้านม หรือที่อื่น ๆ ของร่างกาย
5. ท้องอืด อาหารไม่ย่อย มีอาการปวดท้อง กลืนลำบาก เป็นต้น
6. ไฝหรือจุดเล็ก ๆ ตามร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น โตขึ้น มีสีผิดปกติหรือมีเลือดออก
7. อาการไอที่ผิดปกติ เช่น ไอปนเลือด ไอเรื้อรัง หรือเสียงแหบ
ศูนย์มะเร็ง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า.
สถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ องค์การอนามัยโลก (Globocan) พบว่ามะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งในผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก จากสถิติดังกล่าวในปี 2555 มีผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมทั่วโลกทั้งสิ้นราว 6,255,000 ราย ซึ่งในทุกๆ 1 นาที จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม 1 ราย สำหรับประเทศไทยพบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมกว่า 54,000 ราย และพบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่ถึง3 ราย ในทุกๆ 2 ชั่วโมง ซึ่งยังไม่นับรวมผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่ยังตรวจไม่พบหรือยังไม่ได้เข้ารับการรักษา ทั้งนี้ ผู้หญิงไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านมถึงวันละ 14 ราย
สาเหตุของโรคมะเร็งเต้านมนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าพันธุกรรมมีส่วนสำคัญ พบว่าคนที่มีญาติสายตรงเป็นโรคมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งรังไข่จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าคนทั่วไป และควรรับการตรวจมะเร็งเต้านมทุกปี ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่เพิ่มความเสี่ยง ได้แก่ การสูบบุหรี่ และการใช้ฮอร์โมนเสริม เป็นต้น มะเร็งเต้านมที่ตรวจพบโดยทั่วไปแบ่งได้ง่ายๆ เป็น 3 สายพันธุ์ใหญ่ๆ ดังนี้ สายพันธุ์ตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งเป็นประเภทที่พบมากที่สุด, สายพันธุ์เฮอร์ทู พบได้ประมาณ 20% ของมะเร็งเต้านมทั้งหมด และชนิดไตรโลปะที่ยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน พบได้ประมาณ 15% ของมะเร็งเต้านมทั้งหมด อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็งเต้านมและได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติแล้ว ยังคงมีโอกาสกลับมาเป็นมะเร็งเต้านมได้อีก
รองศาสตราจารย์นายแพทย์นรินทร์ วรวุฒิ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า “การกลับมาเป็นมะเร็งเต้านมซ้ำหลังจากรักษา ซึ่งมีระยะเวลาเฝ้าระวังประมาณ 12 ปีนั้น มี 3 รูปแบบใหญ่ๆ คือ การเป็นซ้ำในบริเวณเดิมและบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นการกำเริบเฉพาะที่ ส่วนการกำเริบในต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆ เรียกว่าการกำเริบในบริเวณข้างเคียง และถ้ามีการกำเริบในอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย เรียกว่าการกำเริบแบบมีการแพร่กระจาย การรักษามะเร็งกำเริบเฉพาะที่ แม้ว่าจะทำได้ยากกว่าการรักษาครั้งแรก แต่ก็ไม่จัดเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจาย ยังสามารถรักษาให้หายได้ ในกรณีที่มีการกำเริบและมีการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่นแล้ว จัดว่าเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจาย ซึ่งการรักษาระยะนี้ มักหวังผลเพื่อยืดชีวิตของผู้ป่วย รักษาคุณภาพชีวิต และบำบัดอาการของโรคเป็นหลัก”
“มะเร็งเต้านมสายพันธุ์เฮอร์ทูเป็นมะเร็งที่เกิดจากการกลายพันธุ์เพิ่มปริมาณของยีนก่อมะเร็งเฮอร์ทูและมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว หากรักษาไม่ถูกต้องตรงตามกลไกการเกิดโรคอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ในระยะเวลาอันสั้น สำหรับผู้ป่วยมะเร็งสายพันธุ์เฮอร์ทูในระยะแพร่กระจายนั้น การรักษาโดยมาตรฐานทั่วไปในอันดับแรกนั้น มักใช้ยาฉีดกลุ่มยาต้านเฮอร์ทูควบคู่กับยาเคมีบำบัด อย่างไรก็ตาม พบว่ากว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษามาตรฐานนี้ ยังคงมีการพัฒนาของโรครุนแรงมากขึ้นในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการดื้อยา”
“ล่าสุด นักวิจัยจึงคิดค้นนวัตกรรมใหม่เป็นยาฉีดเพื่อรักษาโรคมะเร็งเต้านมสายพันธุ์เฮอร์ทู ที่นำมาใช้ร่วมกับยาต้านเฮอร์ทูตัวเดิมและยาเคมีบำบัดเพื่อป้องกันการดื้อยา โดยยาตัวใหม่นี้มีประสิทธิภาพยับยั้งและขัดขวางการรวมตัวกันของโปรตีนเฮอร์ทูกับโปรตีนเฮอร์ชนิดอื่นๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการดื้อยาตัวเดิม อาจกล่าวได้ว่าเป็นนวัตกรรมก้าวกระโดดที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยาต้านเฮอร์ทูรุ่นก่อน ช่วยลดการลุกลามของโรค และช่วยยืดอายุของผู้ป่วยได้”
วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ประวัติส่วนตัว
ชื่อนางสาวสุดารัตน์ ยอดมงคล ชื่อเล่น ดา เกิดวันที่ 22 ตุลาคม 2530 จบกาารศึกษาปริญญาตรีเอกสังคมศึกษา คณะครุศษสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช ปัจจุบันเป็นครูสอนโรงเรียนวัดลำนาวอำเภอบางขัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)