การมีสุขภาพที่แข็งแรงนับว่าเป็นสิ่งประเสริฐสุดใการดำเนินชีวิตเพราะฉนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรงตลอดเวลาดิฉันได้มีโอกาสไปอ่านบทความจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์ “สุขภาพดี” เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยเคล็ดลับ 11 ประการ ดังนี้
1.คัดสรรสิ่งดีๆ เข้าบ้าน
เริ่มต้นสุขภาพดีง่ายๆ ด้วยการเลือกซื้ออาหาร ขนม ผลไม้ที่มีประโยชน์กับร่างกายไว้ให้ทุกคนในบ้านได้รับประทานกัน เพราะอย่างน้อยคุณก็จะมั่นใจได้ว่าครอบครัวจะได้รับคุณค่าจากอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ
2.ดื่มน้ำให้มากขึ้น
ตามมาด้วยการดื่มน้ำบ่อยๆ ให้ได้วันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
3.กินอาหารให้ครบทุกสิ่ง (ที่ธรรมชาติมี)
การรับประทานอาหารให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมีนั้น หมายถึง การรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวผักคะน้า สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการรับประทานเฉพาะสิ่งที่ชอบเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณได้อีกด้วย
4.กินอาหารที่มีประโยชน์
ควรเลือกรับประทานปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ ปลาเป็นโปรตีนคุณภาพดี และย่อยง่าย เป็นอาหารที่หาง่ายและเหมาะกับทุกคนในครอบครัว
5.ดื่มนมให้เหมาะสมกับวัย
กรดื่มนม นมช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง เด็กควรดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มนมพร่องมันเนย วันละ 1-2 แก้ว เพราะนมคือสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับทุกเพศทุกวัย
6.เลือกกินให้เป็น
การกินอยู่เพื่อสุขภาพที่ดี ควรรับประทานอาหารที่มีไขมัน และอาหารประเภททอด ผัด หรือแกงกะทิแต่พอควร รวมไปถึงอาหารประเภท ต้ม นึ่ง ย่าง (ที่ไม่ไหม้เกรียม) ด้วย
7.พอประมาณหวานและเค็ม
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีรสหวานมาก เสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด รสเค็มจัดก็เช่นกัน เสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคไต เป็นต้น
8.งดเหล้าต่ออายุ
ควรงดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคตับแข็ง โรคมะเร็งในหลอดอาหาร และโรคร้ายอีกมาก
9.ใส่ใจน้ำหนักตัว
การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากความอ้วน
10.พักผ่อนให้เพียงพอ
รู้จักบริหารจัดการกับความวิตกกังวล และพักผ่อนอย่างเพียงพอ การพักผ่อนมีความสำคัญมากกับอวัยวะทุกส่วนของร่างกายคนเรา เพราะเมื่อได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ร่างกายก็จะมีความสดชื่น พร้อมสำหรับการทำงาน สมองมีความปลอดโปร่ง ก็จะสามารถคิดตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้ดี
11.ให้เวลาดีๆ กับตัวเอง
ในยุคที่รายล้อมไปด้วยความกดดัน และความวุ่นวายต่างๆ เราควรหาช่วงเวลาดีๆ ในการหยุดพักความวุ่นวายจากภารกิจประจำวัน หยุดพักชีวิตจากเทคโนโลยี และลองมองกลับเข้าหาธรรมชาติรอบๆ ตัวกันดูบ้าง เช่น การนั่งพักผ่อนกับพื้นหญ้า เดินบนพื้นดินด้วยเท้าเปล่าในสถานที่อากาศถ่ายเทดี อย่างเช่น สวนสาธารณะยามเช้า หยุดคิดเรื่องของตัวเองและคนรอบข้าง เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนทั้งกายและใจอย่างแท้จริง
นับเป็นเทคนิคที่ผู้อ่านหลายๆ ท่านทราบกันดีอยู่แล้ว แต่หากต้องการมีสุขภาพที่ดี ควรเริ่มตั้งแต่วันนี้ ดูแลตัวเองในทุกๆ ด้านอย่างครบถ้วนทั้งการบริโภค การพักผ่อน การออกกำลังกาย การตรวจสุขภาพ และใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะสิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของการมีสุขภาพที่ดี
วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557
5 สาเหตุ ทำไมเด็กไทยอ่อนภาษาอังกฤษ
แม้ว่าเด็กไทยจะเรียนหนัก
แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ภาษาอังกฤษของคนไทยดีขึ้น
เพราะระดับภาษาอังกฤษของคนไทยถูกจัดอยู่ในระดับต่ำมาก
และเหตุผลที่ทำให้เด็กไทยมีระดับความรู้ด้านภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์น่าห่วงมีด้วยกัน
5 ข้อสำคัญคือ
1. ระบบการศึกษาไทยเน้นท่องจำ
โดยมีอาจารย์เป็นศูนย์กลาง เขียนศัพท์และแกรมม่าบนกระดานดำ
และให้นักเรียนอ่านและจำ ไม่มีการวิเคราะห์พูดคุย
หรือตั้งคำถาม-คำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เรียน เพราะกลัวถูกกล่าวหาว่าโง่
2. ไม่มีการสอนคิดแบบวิเคราะห์
ระบบการสอนของไทยสอนแบบให้รับรู้
ไม่ต้องคิดและไม่ต้องถามว่าสิ่งที่เรียนนั้นถูกต้องแล้วหรือยัง
สิ่งที่ถูกคือต้องหัดคิดวิเคราะห์เพื่อแยกเยอะโครงสร้างซับซ้อนของภาษา
จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด หลงเชื่อข่าวปลอม หรือข่าวลวง
โดยไม่มีการคิดวิเคราะห์อยู่บ่อยๆ จนทำให้คนไทยไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ
กลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาไม่รู้จักจบ
3. ครูไทยไร้คุณภาพ การเรียนการสอนที่ดีควรเริ่มจากครูผู้สอนก่อน
เริ่มจากครูไทยต้องมีความสามารถด้านภาษาที่ได้มาตรฐาน
ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดีเยี่ยม
4. ครูต่างชาติไม่ได้มาตรฐาน
นอกจากครูไทยแล้ว โรงเรียนบางแห่งมีแนวคิดจ้างครูต่างชาติ
แต่เนื่องจากไม่สามารถจ่ายเงินเดือนสูงมาก ทำให้บางครั้งก็ได้ครูที่ไม่มีมาตรฐาน
บางครั้งครูที่จ้างมาจบปริญญาแต่ไม่ได้เรียนด้านการสอน ไม่มีวุฒิปริญญา
หรือร้ายแรงที่สุดคือใช้ปริญญาปลอมมาสมัครเป็นครู
5. กระทรวงศึกษาธิการ
ควรปรับเปลี่ยนนโยบายที่จะช่วยพัฒนาการศึกษาไทยให้ได้มาตรฐาน
และสามารถดึงดูดคนที่มีความสามารถมาทำงานเป็นครู
พอได้รู้แบบนี้แล้วก็ทำให้เราต้องตะหนักถึงการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทยให้มากขึ้นเพื่อการสื่อสารกับชาติต่างๆ
โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนที่จะเข้ามาอีกไม่นานนี้
สรุป น่าคิดนะคะ แต่สิ่งหนึ่งที่คนไทยยึดมั่นคือภาษาไทยที่ฝังรากลึกมาช้านานแต่อย่างไรการเรียนรู้เพื่อการสื่อสารเป็นสิ่งท้าทายสำหรับเด็กไทย แต่คงไม่ยากเพราะเรากำลังเข้าสู่อาเซียนมันจึงเป็นสิ่งอย่างหนึ่ง
ข้อมูล?: เว็บไซต์
Scholarship.in.th
สมุนไพรต้านหวัด
สมุนไพรต้านหวัด
โดยทั่วไปเมื่อเป็นไข้หวัดแล้ว อาการจะหายได้เองประมาณ 1 สัปดาห์
โดยหมั่นจิบน้ำอุ่นอย่างต่อเนื่อง พักผ่อนให้มากๆ
โดยสิ่งที่เป็นเรื่องน่ารำคาญของโรคนี้คือ น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอและหายใจลำบาก
เรามีพืชผักและสมุนไพรใกล้ตัว เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับบรรเทาอาการหวัด
ลดอาการไอ การระคายคอ จากเสมหะ มาฝากกัน
ต้นหอม โดยนำต้นหอมสดๆล้างน้ำให้สะอาด
กินร่วมกับอาหารทุกมื้อ มื้อละ 2 – 3ต้น หรือต้มจนเดือด
สูดไอระเหยจะช่วยให้หายหวัดได้เร็ว
ขิง
มีรสหวานและเผ็ดร้อน กลิ่นหอมแหลมของขิงมีส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหย
และสารธรรมชาติอีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์เป็น “ยา” ส่วนคนที่กำลังไอ
ขิงก็ช่วยได้ โดยเอามาฝนกับน้ำมะนาวผสมเกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ อาการไอและเสมหะจะบรรเทาเบาบาง
วิธีใช้ก็ง่ายๆคือใช้ขิงแก่ขนาดเท่านิ้วมือทุบให้แตก ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อยคั้นน้ำ 2 ช้อนแกงใส่น้ำผึ้ง
2 ช้อนแกง ผสมเข้ากันแล้วจิบบ่อยๆ ระวังอย่าจิบมากเกินไป
อาจทำให้แสบคอได้
กระเทียม
มีคุณสมบัติเป็นยาขับเสมหะ มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสหวัดและไข้หวัดใหญ่ และยังมีผลต่อเชื้อร้ายในทางเดินหายใจ
จึงช่วยลดอาการไอ หรือหากรับประทานสดๆได้จะดีเพราะกระเทียมสดๆออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด
ฟ้าทะลายโจร
จัดอยู่ในจำพวกยาปฎิชีวนะ เหมือนพวกเพนนิซิลินและเตตราซัยคลิน
ซึ่งรักษาได้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว แต่ปลอดภัยกว่า เพราะไม่มีพิษต่อตับ
และไม่ตกค้างในร่างกาย
ซ้ำยังมีประสิทธิภาพในการรักษาโดยโรคบางอย่างดีกว่ายาแผนปัจจุบันเสียอีก
มะขาม
มีรสเปรี้ยวเพราะมีกรดอินทรีย์ มะขามช่วยให้หายคัดจมูกและขับเหงื่อ
สูดจนหมดไอแล้วผสมน้ำเย็นลงไปพออุ่นแล้วอาบ ทำวันละ 1 – 2 ครั้ง
ประมาณ 3-4 วัน
เพกา
ส่วนที่นำมาใช้คือ เมล็ด
ซึ่งเมล็ดเพกานี้เป็นส่วนประกอบหนึ่งของน้ำจับเลี้ยงที่คนจีนใช้ดิ่มแก้ร้อนใน
มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ ขับเสมหะ
โดยใช้เมล็ดประมาณ 1
กำมือ หนักประมาณ 3 กรัม ใส่น้ำประมาณ 300
มล. ต้มไฟ่อ่อนๆ พอเดือด เคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมง
ดื่มวันละ 3 ครั้ง
นอกจากนี้แล้ว
การที่เราหมั่นรักษาสุขภาพของตัวเองในหน้าฝนนี้ ด้วยการออกกำลังกาย
และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำอุ่นๆ ก็จะช่วยให้หายจากอาการหวัดได้เร็วขึ้นได้
ที่มา:หนังสือสมุนไพรรู้ใช้ไกลโรค
วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557
10 วิธีให้อาหารสมอง(น่าอ่านมากๆ)
10 วิธีให้อาหารสมอง
ในหนังสือข้างครัว ของพิชัย วาสนาส่ง บอกเล่า 10 วิธีของการให้อาหารตามที่สมองต้องการ ดังนี้
1.กินผลไม้และผักเป็นหลักในอาหารแต่ละมื้อ
2.กินไก่โดยไม่กินหนัง
กินเนื้อหมูและเนื้อวัวที่มีไขมันน้อยที่สุดเสมอ
3.กินถั่วตากแห้ง ผักตระกูลถั่วทุกชนิด
รวมทั้งถั่วลิสง (ไม่เติมเกลือได้จะดีที่สุด)
4.กินถั่วเปลือกแข็ง
โดยเฉพาะพวกวอลนัทและถั่วอัลมอนด์
5.กินปลาเนื้อมัน (แซลมอน ซาร์ดีน
แม็กเคอเรล) และหอยต่างๆ
6.ระวังการบริโภคไขมันที่มีโอเมก้า 6 โดยเฉพาะน้ำมันข้าวโพด น้ำมันพืชที่แต่งเติมด้วยสารไฮโดรเจน
และบรรดากรดที่อุดมด้วยไขมันต่างๆ
7.ใช้น้ำตาลและเกลือแต่น้อย
8.ลดการบริโภคอาหารสำเร็จรูป ประเภทกรุบกรอบ
9.กินวิตามิน-แร่ธาตุเป็นส่วนเสริม
เนื่องจากอาหารทุกวันนี้ไม่มีแร่ธาตุและวิตามินมากเท่าอาหารในสมัยก่อน
10.กินน้ำมันปลาที่มีโอเมก้า 3 ในแคปซูล กรณีที่มิได้บริโภคปลาสัปดาห์ละ 3-4 มื้อ
ที่สำคัญคือต้องออกกำลังกายด้วย สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพราะเมื่อเลือดลมดี สุขภาพก็ดีเช่นกัน
ขอบคุณแหล่งอ้างอิง : นสพ.มติชน
สรุป สมองเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในระบบการทำงานของร่างกายหากสมองได้รับการพัฒนาด้านโภชนาการที่ถูกต้องย่อมเกิดผลดีต่อสุขภาพรจิต
ร่างกายและการทำงานก็จะประสบความสำเร็จ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)