วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

เด็กไทยต้องรู้ 7 อาชีพ ที่จะทำงานได้อย่างเสรีในประชาคมอาเซียน

ผลจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9  ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ได้กำหนดให้จัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangements : MRAs) ด้านคุณสมบัติในสาขาวิชาชีพหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายนักวิชาชีพ หรือแรงงานเชี่ยวชาญมีความสามารถพิเศษได้อย่างเสรีข้อตกลงเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงาน ฝีมือไปทำงานในประเทศกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ได้อย่างเสรี ได้กำหนดครอบคลุม 7 อาชีพ และก็มีข่าวว่าอาจจะมีการเพิ่มจำนวนอาชีพขึ้นมาอีกในลำดับถัดไป สำหรับ 7 อาชีพที่มีข้อตกลงกันแล้วให้สามารถเคลื่อนย้ายไปทำงานได้อย่างเสรี ได้แก่
อาชีพวิศวกร ( Engineering Services)
อาชีพพยาบาล  (Nursing Services)
อาชีพสถาปนิก (Architectural Services)
อาชีพการสำรวจ (Surveying Qualifications)
อาชีพนักบัญชี  (Accountancy Services)
อาชีพทันตแพทย์  (Dental Practitioners)
อาชีพแพทย์  (Medical Practitioners)

แรงงานฝีมือเสรีในกลุ่ม 7 อาชีพนั้น มีผลดีต่อไทยไม่น้อย เพราะในภาพรวม สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในไทยมีศักยภาพในด้านการผลิตบุคลากรในสาย วิชาชีพทั้ง 7 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งทำให้ผู้จบการศึกษาในสายวิชาชีพทั้ง 7 ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกมีตลาดงานที่เปิดกว้างมากขึ้นจาก เดิมที่ตลาดมีแค่การให้บริการประชาชน 63 ล้านคน เป็นตลาดของประชาชนร่วม 600 ล้านคนใน 10 ประเทศอาเซียน นอกจากนั้น ประเทศเหล่านี้รวมทั้งไทยอยู่ในทิศทางที่กำลังเติบโตทางด้านเศรษฐกิจทั้ง สิ้น เร็วบ้าง ช้าบ้าง และโดยภาพรวมคุณภาพของผู้จบวิชาชีพทั้ง 7 ในไทยก็สูงอยู่ในระดับแถวหน้าของประเทศอาเซียน ทำให้โอกาสในการหางานมีสูงใน ขณะที่คนไทยสามารถไปทำงานในประเทศอาเซียนได้อย่างเสรีนั้น สภาวิชาชีพ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลมาตรฐานของอาชีพทั้ง 7 นั้นคงต้องมีการดำเนินการอย่างเข้มแข็งรัดกุมเป็นอย่างมาก เพื่อรักษามาตรฐานของผู้จบวิชาชีพในสาขาอาชีพนั้นๆ ในไทยให้คงเดิม หรือยกระดับให้สูงขึ้นไปอีก ป้องกันมิให้เกิดการอ่อนด้อยในเรื่องมาตรฐานขององค์กรในการผลิตคน บางแห่งที่อาจใช้โอกาสนี้เพิ่มรายได้ในการเร่งผลิตคนในวิชาชีพเหล่านั้น จำนวนมากเพื่อตอบสนองตลาดที่ใหญ่ขึ้น มิฉะนั้นอาจส่งผลกระทบทางลบโดยรวม  อีก ปัญหาที่อาจะตามมาอีกอย่างคือ บางวิชาชีพไทยเริ่มจะเข้าสู่วิกฤตการขาดแคลนอาจารย์ เช่น ทันตแพทย์ ถ้าแก้ปัญหาไม่ทันท่วงทีในเวลาอีกสามถึงห้าปีข้างหน้า ไทยจะมีปัญหาเรื่องการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ในสายวิชาชีพทันตแพทย์อย่างแน่ นอน ขณะเดียวกัน ก็ต้องระวังดูแลในเรื่องมาตรฐานของคนจากประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่เข้ามาประกอบอาชีพทั้ง 7 อาชีพในไทยด้วยเช่นกัน เพราะอาจจะมีผู้มาจากประเทศอื่นที่มาประกอบอาชีพในไทยมีปัญหาความอ่อนด้อยใน เรื่องมาตรฐาน ซึ่งถ้าดูแลไม่รอบคอบรัดกุม อาจก่อเกิดผลกระทบกับสังคมไทยในทางลบ และอาจส่งผลต่อปัญหาการประกอบอาชีพของคนไทยเอง (อ้างอิงข้อมูล สำนักงานหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา)
สรุป ประเทศไทยควรวางแผนการผลิตแรงงานคนให้ดีและต้องสอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอาเซียนที่มีการแข่งขันกันสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถด้านการสื่อสารการใช้ภาษาอังกฤษที่คนไทยยังพูด อ่าน เขียนได้น้อยเมื่อเทียบกับสมาชิกในอาเซียน

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

การพัฒนาประเทศตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยยึดหลักความพอดี ประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และไม่เบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา        ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง เกิดจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดในปี พ.ศ.2540
หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักปรัชญาในการดำเนินชีวิตและการปฏิบัติตนในแนวทางสายกลาง สำหรับประชาชนชาวไทย ท้องถิ่น ชุมชน การบริหารและการพัฒนาประเทศของรัฐบาล หลักการของเศรษบกิจพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณลักษณะ 3 ประการ คือ
ความพอประมาณ คือ ความพอดี ไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ความมีเหตุผล คือ ตัดสินใจว่าความพอเพียงจะอยู่ที่ระดับใด จะต้องพิจารณาอย่างมีเหตุผลและรอบคอบ
การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หมายถึง เตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เงื่อนไข
เงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความสำเร็จหรือสามารถปฏิบัติตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างได้ผล จะต้องมีองค์ประกอบ 2 ประการดังนี้
มีความรู้ หมายถึง มีความรู้ในวิชาชีพและวิชาการต่างๆ อย่างรอบด้าน และมีความรอบคอบในการนำความรู้นั้นไปปฏิบัติ

มีคุณธรรม หมายถึง มีความซื่อสัตย์สุจริต ขยัน อดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต ไม่โลภ และไม่ตระหนี่
eco
เป้าหมายของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงต่อบุคคล
การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนบรรลุผลสำเร็จดังนี้
รู้จักตนเอง หมายถึง การดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานของการรู้จักตนเอง รู้จักพัฒนาความรู้ความสามารถของตนด้วยการศึกษาหาความรู้
พึ่งตนเองและพึ่งพาซึ่งกันและกัน หมายถึง ต้องรู้จักพึ่งตนเองและแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันด้วยตนเองก่อนเสมอ โดยใช้สติปัญญาและเหตุผล ต่อจากนั้นจึงพึ่งพาซึ่งกันและตามความจำเป็น
ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง หมายถึง ยึดทางสายกลางในการดำเนินชีวิต ไม่โลภ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ใช้จ่ายเกินฐานะหรือเกินกำลังทรัพย์ของตน
ความสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาประเทศ
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เพราะจะทำให้เกิดผลดีต่อประชาชน ชุมชน และสังคมประเทศชาติ ดังนี้
ความสำคัญต่อครอบครัว สมาชิกในครอบครัวดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข เพราะปฏิบัติตามหลักพออยู่ พอกิน พอใช้ ส่งผลให้ไม่ยากจน ไม่มีหนี้สิน มีเงินออม และพึ่งตนเองได้
22
ความสำคัญต่อชุมชน ทำให้เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง มีการรวมกลุ่มสร้างแรงงานและอาชีพ และนำทรัพยากรของชุมชนมาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ
เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ สมาชิกในชุมชนร่วมมือกันแก้ไขปัญหา
ระดับสังคมประเทศชาติ สังคมเข้มแข็ง ผู้คนมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง สมาชิกในสังคมร่วมกันสืบทอดภูมิปัญญาและพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
แหล่งข้อมูล  http://metricsyst.wordpress.com/ 
สรุป ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น รายจ่ายมากขึ้นในขณะที่รายรับน้อยลง ทำให้มีผู้คนจำนวนมากมีความลำบากในการดำเนินชีวิต แต่หากทุกคนในชาติหันมาปฎิบัติามคำพ่อสอนเชื่อว่าชีวอตความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้นด้วย

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

“พัฒนาพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ในศตวรรษที่ 21 ฟันเฟืองสู่การอภิวัฒน์การศึกษาไทย”

     ประเทศไทยมีการปฎิรูปการศึกษามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2542 และรัฐบาลได้ทุ่มเทจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาเพิ่มขึ้นทุกปี หรือคิดเป็นร้อยละ 20.5 ของงบประมาณทั้งหมด เรียกได้ว่าสูงเป็นอันดับที่สองของโลก แต่ในทางกลับกันผลการประเมินคุณภาพการศึกษาของไทยจากสถาบันวิชาการในระดับชาติและในระดับนานชาติต่างบ่งชี้ว่าคุณภาพการศึกษาของไทยตกต่ำ
     ทั้งนี้ในการจัดประชุมอภิวัฒน์การเรียนรู้สู่จุดเปลี่ยนประเทศไทยที่จัดขึ้นโดย สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้จัดเวทีอภิปรายในหัวข้อ “การพัฒนาครูเพื่อจัดการเรียนการสอนสำหรับศตวรรษที่ 21 เพื่อนำไปสู่การหาแนวทาเพื่อพัฒนาครูให้เหมาะสมสำหรับการพัฒนาระบบการศึกษาในประเทศไทยขึ้น
       รศ.ดร.ทิศนา แขมมณี คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า  มีคำถามเกิดขึ้นอย่างหลากหลายว่าการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21 จะไปในทิศทางไหน โดยในหลากหลายภาคส่วนได้ให้ข้อสรุปว่าการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มคือ  1.ความรู้ในวิชาแกน  2.คุณธรรมและคุณลักษณะ 3.ทักษะทางปัญญา ซึ่งรวมถึงทักษะการสื่อสารการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์  4.ทักษะทางสังคม ซึ่งได้แก่การรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม และ 5.ทักษะการเทคโนโลยี ซึ่งจากทักษะทั้ง 5 นั้น สิ่งที่จำเป็นต้องอภิวัฒน์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาครูคือทักษะใน 3 กลุ่มหลัก คือทักษะทางปัญญา ทักษะทางสังคมและทักษะการใช้เทคโนโลยี เพราะทักษะเหล่านี้ได้รับการวิเคราะห์และยอมรับในมุมวิชาการแล้วว่าเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็กที่จะนำไปสู่การดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพในศตวรรษที่ 21  ด้วยเหตุนี้ครูผู้สอนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาแนวทางนำทักษะดังกล่าวมาบูรณาการกับเนื้อหาทางวิชาการเพื่อสนับสนุนให้การเรียนรู้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
          ดร.พิษณุ ตุลสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ระบุว่าในปัจจุบันหน่วยงานที่รับผิดชอบในการพัฒนาครูมีเป็นจำนวนมาก แต่ทุกหน่วยงานมีความแตกแยกไม่เป็นเอกภาพจึงทำให้การพัฒนาครูยังไปไม่ถึงไหน สิ่งสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาประสบความสำเร็จคือจะต้องควบรวมหน่วยงานเหล่านี้ให้มีความเป็นเอกภาพ ซึ่งการพัฒนาครูให้เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 นั้นจะต้องเริ่มตั้งแต่การผลิตครูที่เราจะต้องยกเครื่องกระบวนการในการผลิตครูใหม่ ซึ่งในเรื่องนี้หน่วยงานทุกภาคส่วนต้องช่วยกันทั้งรัฐ เอกชน ท้องถิ่น ภาคประชาสังคม โดยต้องช่วยกันดูระบบและวางแผนการศึกษาร่วมกัน จัดการการศึกษาที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่หลากหลาย จากนี้จะต้องมีการกระจายอำนาจเพื่อทำให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาครูอย่างแท้จริง และที่สำคัญต้องเน้นการทำงานที่เป็นเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือในการพัฒนาครูอย่างเป็นรูปธรรม
            ศาสตราจารย์ Thomas B. Corcoran  , Columbia University กล่าวย้ำว่า ในความหมายของครูที่จะก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 นักเรียนและครูต่างมีหน้าที่ของตนเองที่ต้องช่วยกันพัฒนามากขึ้น เพราะในยุคปัจจุบันโครงสร้างของครอบครัวมีสภาพที่อ่อนแอมากขึ้น เด็กมีสิ่งยั่วยวนมากขึ้นทั้งเรื่องเกม ยาเสพติด หรือแม้กระทั้งการเสพสื่อทางเทคโนโลยีที่ผิด จึงทำให้การพัฒนาระบบการศึกษาของครูในทศวรรษที่ 21 เพื่อเด็กในศตวรรษนี้เป็นเรื่องที่ยากและท้าทายที่จำเป็นต้องรีบหาทางแก้ไข ทั้งนี้ปัญหาที่มักพบกับครูในหลายประเทศทั่วโลกคือกระบวนการการสอน ครูมักจะเน้นสอนในทางทฤษฎีมากกว่าวิชาปฏิบัติซึ่งถือเป็นความรู้ที่มีมากกว่าในห้องเรียนซึ่งตรงส่วนนี้ก็ทำให้การพัฒนาระบบการสอนของครูหยุดชะงักลงได้  นอกจากนี้สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการต่อมาคือต้องปลูกฝังครูรุ่นใหม่ให้มีประสบการณ์ในการสอนทางด้านทักษะวิธีคิดต่างๆ ให้เข้มข้นมากกว่าเดิม ถ้าเป็นไปได้ก่อนที่ครูจบใหม่จะไปสอนจะต้องมีครูพี่เลี้ยงคอยแนะนำให้คำปรึกษาอย่างเข้มข้น และควรต้องมีการประเมินการฝึกสอนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาต่อไป
อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมสัคมแห่การเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

สิ่งที่ครูต้องรู้ นักเรียนต้องเป็น ทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21

         ความท้าทายด้านการศึกษาในศตวรรษที่ 21  ในการเตรียมนักเรียนให้พร้อมกับชีวิตในศตวรรษที่ 21 เป็นเรื่องสำคัญของกระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อวิถีการดำรงชีพของสังคมอย่างทั่วถึง ครูจึงต้องมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะสำหรับการออกไปดำรงชีวิตในโลกในศตวรรษที่ 21 ที่เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ 20 และ 19 โดยทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่สำคัญที่สุด คือ ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skill) ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็กในศตวรรษที่ 21 นี้ มีความรู้ ความสามารถ และทักษะจำเป็น ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ 
       ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) วิจารณ์ พานิช (2555: 16-21) ได้กล่าวถึงทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ดังนี้
สาระวิชาก็มีความสำคัญ แต่ไม่เพียงพอสำหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษที่ ๒๑ ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter) ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของศิษย์ โดยครูช่วยแนะนำ และช่วยออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนแต่ละคนสามารถประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้ 
สาระวิชาหลัก (Core Subjects) ประกอบด้วย
    ภาษาแม่ และภาษาสำคัญของโลก
    ศิลปะ
    คณิตศาสตร์
    การปกครองและหน้าที่พลเมือง
    เศรษฐศาสตร์
    วิทยาศาสตร์
    ภูมิศาสตร์
    ประวัติศาสตร์
       โดยวิชาแกนหลักนี้จะนำมาสู่การกำหนดเป็นกรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์สำคัญต่อการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary) หรือหัวข้อสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยการส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหาวิชาแกนหลัก และสอดแทรกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เข้าไปในทุกวิชาแกนหลัก ดังนี้
ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
          ความรู้เกี่ยวกับโลก (Global Awareness)
          ความรู้เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economics, Business and Entrepreneurial Literacy)
          ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี (Civic Literacy)
          ความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy)
          ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy)
ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม จะเป็นตัวกำหนดความพร้อมของนักเรียนเข้าสู่โลกการทำงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่
        ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม
        การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา
        การสื่อสารและการร่วมมือ
ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อและเทคโนโลยีมากมาย ผู้เรียนจึงต้องมีความสามารถในการแสดงทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและปฏิบัติงานได้หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ในหลายด้าน ดังนี้
        ความรู้ด้านสารสนเทศ
        ความรู้เกี่ยวกับสื่อ
        ความรู้ด้านเทคโนโลยี
ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ ในการดำรงชีวิตและทำงานในยุคปัจจุบันให้ประสบความสำเร็จ นักเรียนจะต้องพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญดังต่อไปนี้
    ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
    การริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง
    ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม
    การเป็นผู้สร้างหรือผู้ผลิต (Productivity) และความรับผิดชอบเชื่อถือได้ (Accountability)
    ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ (Responsibility) 
ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต คือ การเรียนรู้ 3R x 7C
    3R คือ Reading (อ่านออก), (W)Riting (เขียนได้), และ (A)Rithemetics (คิดเลขเป็น)
    7C ได้แก่
        Critical Thinking and Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา)
        Creativity and Innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม)
        Cross-cultural Understanding (ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)
        Collaboration, Teamwork and Leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ)
        Communications, Information, and Media Literacy (ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
        Computing and ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
        Career and Learning Skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
       แนวคิดทักษะแห่งอนาคตใหม่: การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และกรอบแนวคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นการกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ โดยร่วมกันสร้างรูปแบบและแนวปฏิบัติในการเสริมสร้างประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นที่องค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญและสมรรถนะที่เกิดกับตัวผู้เรียน เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตในสังคมแห่งความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน โดยจะอ้างถึงรูปแบบ (Model) ที่พัฒนามาจากเครือข่ายองค์กรความร่วมมือเพื่อทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Partnership For 21st Century Skills) (www.p21.org ) ที่มีชื่อย่อว่า เครือข่าย P21  ซึ่งได้พัฒนากรอบแนวคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะเฉพาะด้าน ความชำนาญการและความรู้เท่าทันด้านต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อความสำเร็จของผู้เรียนทั้งด้านการทำงานและการดำเนินชีวิต
 กรอบแนวคิดเชิงมโนทัศน์สำหรับทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นที่ยอมรับในการสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Model of 21st Century Outcomes and Support Systems) ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางเนื่องด้วยเป็นกรอบแนวคิดที่เน้นผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้เรียน (Student Outcomes) ทั้งในด้านความรู้สาระวิชาหลัก (Core Subjects) และทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่จะช่วยผู้เรียนได้เตรียมความพร้อมในหลากหลายด้าน รวมทั้งระบบสนับสนุนการเรียนรู้ ได้แก่มาตรฐานและการประเมิน หลักสูตรและการเยนการสอน การพัฒนาครู สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเรียนในศตวรรษที่ 21
       การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้องก้าวข้าม “สาระวิชา” ไปสู่การเรียนรู้ “ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21” (21st Century Skills) ซึ่งครูจะเป็นผู้สอนไม่ได้ แต่ต้องให้นักเรียนเป็นผู้เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยครูจะออกแบบการเรียนรู้ ฝึกฝนให้ตนเองเป็นโค้ช (Coach) และอำนวยความสะดวก (Facilitator) ในการเรียนรู้แบบ PBL (Problem-Based Learning) ของนักเรียน ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวช่วยของครูในการจัดการเรียนรู้คือ ชุมชนการเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (Professional Learning Communities : PLC) เกิดจากการรวมตัวกันของครูเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำหน้าที่ของครูแต่ละคนนั่นเอง (อ้างอิงข้อมูล วิชาการ.คอม )

ชู'สวดมนต์'ศาสตร์แพทย์ทางเลือกบำบัดโรค

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม2557 นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก แถลงข่าว "สวดมนต์ 15 นาที ชีวีมีสุข ครอบครัวสุขสันต์ รับกุศลเข้าพรรษา" ว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเป็นโรคเรื้อรังมากขึ้น โดยปี 2556 มีจำนวนถึง 2.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เสียชีวิตปีละกว่า 1.2 แสนคน ไม่รวมคนไข้ที่มีปัญหาทางจิตผิดปกติปีละ 1 ล้านคนเศษ ต้องใช้ยาจากต่างประเทศปีละกว่า 100,000 ล้านบาทและเป็นค่าใช้จ่ายในด้านสุขภาพประมาณ 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของชาติ ทั้งนี้ ในการรักษาโดยไม่ต้องใช้ยานั้น สวดมนต์ถือเป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกทางหนึ่งในการบำบัดโรค ซึ่งไม่ใช่แค่การบำบัดโรคทางใจแต่ทางกายก็ได้ผลดี
นพ.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า การสวดมนต์บำบัด คือ หลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy คือ การใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย สำหรับการสวดมนต์ด้วยตัวเอง เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง โดยวิธีการสวดมนต์ด้วยตนเองควรปฏิบัติดังนี้ การสวดด้วยตนเองไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน หาสถานที่ที่เงียบสงบ สวดบทสั้นๆ 3 - 4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10 - 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท มีบทบาทหน้าที่เช่น การควบคุมความหิว อารมณ์ และความโกรธ โดยหากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา
               “ที่ผ่านมากรมฯได้ร่วมกับอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล ในการศึกษาเรื่องนี้ โดยได้ติดตามในกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วย 100,000 คน ในรพ.สต. ทั่วประเทศ ที่มีอาการความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคเครียด โรคซึมเศร้า ปวดหัวไมเกรน และนอนไม่หลับ หลังจากให้มีการสวดมนต์ทุกวันร่วมกับนั่งสมาธิประมาณ 15-45 นาที และมีการทำโยคะบำบัด ที่ได้พัฒนาหลักสูตรขึ้นมาเรียกว่า สมาธิบำบัดแบบ SKT ซึ่งพัฒนาโดย รศ.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี อาจารย์ประจำภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า หลังจากติดตามมายาวนาน 6 ปีในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ทานยาร่วมด้วย น้ำตาลลดลง จิตใจเข้มแข็งขึ้น ความดันโลหิตลดลง อาการเครียด นอนไม่หลับ ปวดหัวไมเกรนหายไป ทั้งนี้ สอดคล้องกับงานวิจัยต่างประเทศในเรื่องการทำสมาธิ และการสวดมนต์ที่อ่านออกเสียง เนื่องจากคลื่นเสียงจะไปกระตุ้นสารความสุข และกดสารความทุกข์ลง”นพ.ธวัชชัยกล่าว
               อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าวด้วยว่า สำหรับสมาธิบำบัดแบบ SKT นั้น มีทั้งหมด 7 ท่า คือ ท่าที่ 1 นั่งผ่อนคลาย ประสานกายประสานจิต ท่าที่ 2 คือ ยืนผ่อนคลาย ประสานกาย ประสานจิต ท่าที่ 3 คือ นั่งยืด เหยียดผ่อนคลาย ท่าที่ 4ก้าวย่างอย่างไทย ท่าที่ 5ยืดเหยียดอย่างไทย ท่าที่ 6 เทคนิคการฝึกสมาธิการเยียวยาไทยโดยการนอน ท่าที่ 7 เทคนิคสมาธิเคลื่อนไหวไทยชีกง ทั้งหมดจะเน้นการฝึกสมาธิ กำหนดลมหายใจเป็นหลัก หากประชาชนสนใจเทคนิคดังกล่าวสามารถสอบถามมาได้ที่กรมฯ โทร 0-2149-5636
               นพ.ธวัชชัย กล่าวอีกด้วยว่า กรมฯจึงได้ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พ.ศ.) กรมการศาสนา ลงนามบันทึกข้อตกลงขับเคลื่อนเชิญชวนประชาชนสวดมนต์บำบัดโรค เริ่มวันที่ 10 กรกฎาคม 2557 ที่บริเวณลานปฏิบัติธรรมวัดสังฆทาน จ.นนทบุรี ตั้งแต่เวลา 06.30 น.-09.00น. โดยตั้งเป้าประชาชนเข้าร่วม 1,199 คน ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ที่จุดลงทะเบียนหน้างาน นอกจากนี้ ยังร่วมกับพ.ศ. วัฒนธรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) ทั่วประเทศกว่า 9,800 แห่ง ลงพื้นที่ประสานกับทางโรงเรียนในเขตชุมชนทุกแห่ง และวัดต่างๆ ในการร่วมกันเชิญชวนประชาชน และเด็กนักเรียนสวดมนต์ทุกวันวันละ 15 นาที เพื่อให้ทุกคนร่วมกันสวดมนต์ตลอดเข้าพรรษา 3 เดือน จากนั้นจะมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่าการสวดมนต์ ถือเป็นการมนตราบำบัด หรือการสวดมนต์บำบัดโรคได้
วิจัยพบบทสวดโพชฌงค์แก้'ซึมเศร้า'ได้
               ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว นางเบญญาภา กุลศิริไชย นักศึกษาปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ได้ทำการวิจัยในการทำวิทยานิพนธ์เรื่อง "การลดภาวะซึมเศร้าในผู้ประสบภัยพิบัติด้วยการรับบทสวดโพชฌงคปริตรเข้าจิตใต้สำนึก" และได้นำเสนอในการบรรยายสาธารณะเมื่อวันที่ 12 ก.ย.2556 ที่บัณฑิตวิทยาลัย "มจร" วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์  กทม. สามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ 'มจร'วิจัยพบบทสวดโพชฌงค์ แก้'โรคซึมเศร้า'จากภัยพิบัติได้จริง : สำราญ สมพงษ์รายงาน (http://www.komchadluek.net/detail/20120920/140448/วิจัยพบบทสวดโพชฌงค์แก้โรคซึมเศร้าได้.html)
แหล่งอ้างอิงข้อมูล คมชัดลึกออนไลน์วันที่ 06-09-2557